นิพพานของคนตาบอด

นิพพานของคนตาบอด

จิต คดโกง หลอกลวง




    ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยมีมาแต่ก่อน คือข้อที่พระสมณโคดมได้กล่าวคำนี้ว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ดังนี้ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าก็ได้เคยฟังคำกล่าวนี้ ของปริพพาชกผู้เป็นอาจารย์แห่งอาจารย์กล่าวอยู่ว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ดังนี้ ด้วยเหมือนกัน ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้อนี้ช่างตรงกันนัก.
    มาคัณฑิยะ ข้อนี้ท่านฟังมาแต่ปริพพาชกผู้เป็นอาจารย์แห่งอาจารย์ ที่กล่าวอยู่ว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ดังนี้นั้น ความไม่มีโรคนั้น เป็นอย่างไร นิพพานนั้นเป็นอย่างไร.
    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว มาคัณฑิยปริพพาชก ได้ลูบร่างกายของตนด้วยฝ่ามือ แล้วร้องขึ้นว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ นี่ยังไงล่ะความไม่มีโรค นี่ยังไงล่ะนิพพาน พระโคดมผู้เจริญ เวลานี้ ข้าพเจ้าเป็นสุข ไม่มีโรค ไม่มีอาพาธอะไรๆ.
    มาคัณฑิยะ ข้อนี้เปรียบเหมือนบุรุษตาบอดมาแต่กำเนิด เขาไม่อาจเห็นรูปสีดำหรือสีขาว ไม่อาจเห็นรูปสีเขียว ไม่อาจเห็นรูปสีเหลือง ไม่อาจเห็นรูปสีแดง ไม่อาจเห็นรูปสีชมพู ไม่อาจเห็นพื้นที่อันสม่ำเสมอหรือขรุขระ ไม่อาจเห็นดวงดาว ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ เขาได้ยินคนตาดีกล่าวอยู่ว่า ท่านผู้เจริญ ผ้าขาวเนื้อดี สะอาด ไม่มีมลทิน งดงามนักหนอ บุรุษตาบอดนั้นก็เที่ยวแสวงหาผ้าขาว บุรุษคนหนึ่งลวงเขาด้วยผ้าเก่าเปื้อนเขม่าว่า บุรุษผู้เจริญ นี้ผ้าขาวเนื้อดี สะอาด ไม่มีมลทิน งดงามนัก สำหรับท่าน บุรุษตาบอดนั้น รับผ้านั้นมาห่ม แล้วพูดออกมาด้วยความดีใจว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย นี้ผ้าขาวเนื้อดี สะอาด ไม่มีมลทิน งดงามนักหนอ ดังนี้.
    มาคัณฑิยะ ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร บุรุษตาบอดแต่กำเนิดนั้นเป็นผู้รู้อยู่เห็นอยู่ แล้วรับเอาผ้าเก่าเปื้อนเขม่านั้นมาห่ม และพูดออกมาด้วยความดีใจว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย นี้ผ้าขาวเนื้อดี สะอาด ไม่มีมลทิน งดงามนักหนอ ดังนี้ หรือว่าเขาพูดอย่างนั้น เพราะเชื่อคนตาดีที่ลวงเขา.
    ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุรุษตาบอดแต่กำเนิดนั้นเป็นผู้ไม่รู้ ไม่เห็น แล้วก็รับเอาผ้าเก่าเปื้อนเขม่านั้นมาห่ม และพูดออกมาด้วยความดีใจว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย นี้ผ้าขาวเนื้อดี สะอาด ไม่มีมลทิน งดงามนักหนอ ดังนี้ ที่เขาพูดเช่นนั้น เพราะเชื่อคนตาดีที่ลวงเขาเท่านั้น.
    มาคัณฑิยะ ฉันใดก็ฉันนั้นเหมือนกัน ที่ปริพพาชกเดียรถีย์เหล่าอื่นเป็นคนบอดไม่มีจักษุ ไม่รู้จักความไม่มีโรค ไม่เห็นนิพพาน เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ยังมากล่าวคาถานี้ว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ดังนี้.
    มาคัณฑิยะ คาถานี้ เป็นคาถาที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในกาลก่อน กล่าวกันแล้วว่า
    ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ทางมีองค์ ๘ เป็นทางอันเกษมกว่าทางทั้งหลาย ซึ่งเป็นเครื่องให้ถึงอมตะ ดังนี้นั้น บัดนี้ ได้มากลายเป็นคาถาของปุถุชนกล่าวไปเสียแล้ว.
    มาคัณฑิยะ กายนี้แหละเป็นดังโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ ท่านก็มากล่าวซึ่งกายนี้ที่เป็นดังโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ ว่าเป็นความไม่มีโรค เป็นนิพพาน มาคัณฑิยะ อริยจักษุสำหรับจะรู้จักความไม่มีโรค จะเห็นนิพพานของท่านไม่มี …
    ข้าพระองค์เลื่อมใสต่อท่านพระโคดมผู้เจริญอย่างนี้แล้ว ขอท่านพระโคดมผู้เจริญ โปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ โดยประการที่ข้าพระองค์จะรู้จักความไม่มีโรคและเห็นนิพพานได้.
    มาคัณฑิยะ เปรียบเหมือนบุรุษตาบอดมาแต่กำเนิด เขาไม่อาจเห็นรูปสีดำหรือสีขาว ไม่อาจเห็นรูปสีเขียว ไม่อาจเห็นรูปสีเหลือง ไม่อาจเห็นรูปสีแดง ไม่อาจเห็นรูปสีชมพู ไม่อาจเห็นพื้นที่อันสม่ำเสมอหรือขรุขระ ไม่อาจเห็นดวงดาว ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ เขาได้ยินคนตาดีกล่าวอยู่ว่า ท่านผู้เจริญ ผ้าขาวเนื้อดี สะอาด ไม่มีมลทิน งดงามนักหนอ บุรุษตาบอดนั้นก็เที่ยวแสวงหาผ้าขาว บุรุษคนหนึ่งลวงเขาด้วยผ้าเก่าเปื้อนเขม่าว่า บุรุษผู้เจริญ นี้ผ้าขาวเนื้อดี สะอาด ไม่มีมลทิน งดงามนัก สำหรับท่าน บุรุษตาบอดนั้น รับผ้านั้นมาห่มแล้ว.
    ในกาลต่อมา มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตของเขา เชิญแพทย์ผ่าตัดผู้ชำนาญมารักษา แพทย์นั้นทำยาอันถ่ายโทษในเบื้องบน ถ่ายโทษในเบื้องล่าง ยาหยอด ยากัดและยานัตถุ์ เขาอาศัยยานั้นแล้วจึงมองเห็นได้ ชำระตาให้ใสได้ พร้อมกับการที่มีตาดีขึ้นนั้น เขาย่อมละความรักใคร่พอใจในผ้าเนื้อเลวเปื้อนเขม่าเสียได้ เขาจะพึงเบียดเบียนบุรุษที่ลวงเขานั้น โดยความเป็นศัตรู โดยความเป็นข้าศึก และจะสำคัญว่าควรปลงชีวิตบุรุษนั้นด้วยความแค้น โดยกล่าวว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เราถูกบุรุษนี้คดโกง หลอกลวง ปลิ้นปลอกด้วยผ้าเนื้อเลวเปื้อนเขม่า มานานหนักหนอ โดยหลอกเราว่า บุรุษผู้เจริญ นี้แหละเป็นผ้าขาวเนื้อดี เป็นของงดงาม ปราศจากมลทิน เป็นผ้าสะอาดสำหรับท่าน ดังนี้.
    มาคัณฑิยะ ฉันใดก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถ้าเราแสดงธรรมแก่ท่านว่า อย่างนี้เป็นความไม่มีโรค อย่างนี้เป็นนิพพาน ดังนี้ ท่านจะรู้จักความไม่มีโรค จะพึงเห็นนิพพานได้ ก็ต่อเมื่อท่านละความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ
(ฉนฺทราโค) ในอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เสียได้ พร้อมกับการเกิดขึ้นแห่งจักษุของท่าน อนึ่ง ความรู้สึกจะพึงเกิดขึ้นแก่ท่านว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เราถูกจิตนี้คดโกง หลอกลวง ปลิ้นปลอก มานานนักหนอ จึงเราเมื่อยึดมั่น ก็ยึดมั่นเอาแล้ว ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร และซึ่งวิญญาณ นั่นเทียว.
    เพราะความยึดมั่น
(อุปาทาน) ของเรานั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสะทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.

    -บาลี ม. ม. ๑๓/๒๘๑/๒๘๗.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น